ขณะที่ฝั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่งตัวรุกเต็มสูบ วาง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หน้าเป้า และให้ ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และดีโอโก้โชต้า ปั้นเกม
นาที 12 ทีมเยือนมาได้ประตูขึ้นนำ ไคล์ วอล์คเกอร์ ไปกระแทกใส่ ซาดิโอ มาเน่ ในเขตโทษ ผู้ตัดสิน เคร็ก พาวสัน เป่าเป็นจุดโทษทันทีโดย ก่อนที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะสังหารไม่พลาด พาหงส์แดง ขึ้นนำ 1-0 เป็นประตูที่ 8 ของตนเอง นำดาวซัลโวร่วมกับ ซน ฮึง-มิน, เจมี่ วาร์ดี้, และโดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน
เจ้าถิ่นเดินหน้าบุกใส่ นาที 31 เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายให้ กาเบรียล เชซุส พลิกบอลหลบ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าไปจิ้มบอลผ่านมือ อลิสซง เข้าประตูไป ซิตี้ ไล่มา 1-1
นาที 40 เจ้าถิ่นมาได้จุดโทษคืนบ้าง เควิน เดอ บรอยน์ ครอสไปติดแขน โจ โกเมซ ในเขตโทษ เคร็ก พาวสัน วิ่งไปดูจอ VAR ข้างสนามแล้วกลับมาชี้ให้จุดโทษแต่เจ้าถิ่น แต่ทว่า เควิน เดอ บรอยน์ ดันยิงพลาดซัดด้วยขวาส่งบอลหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย สกอร์ยังเสมอกัน 1-1
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งคู่ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม เเมนฯซิตี้ 1-1 ลิเวอร์พูล “เรือใบสีฟ้า” มีแต้มเพิ่มเป็น 12 คะแนนจากการเล่นแค่ 7 นัด รั้งอันดับ 11 ส่วน “หงส์แดง” แซงนักบุญขึ้นมารั้งอันดับ 3 มี 17 คะแนนเท่ากับ สเปอร์ส แต่ลูกได้เสียเป็นรอง โดยตามหลังจ่าฝูง เลสเตอร์ ซิตี้ แค่คะแนนเดียว