ฟุตบอล ถือเป็นกีฬาที่มีผู้สนใจและติดตามเชียร์มากที่สุดในโลก ในแต่ละประเทศจะมีสมาคมกีฬาฟุตบอลของตนเองทำหน้าที่บริหารจัดการ ทั้งการแข่งขันฟุตบอลลีกภายใน หรือ ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันรายการในระดับนานาชาติ
การแข่งขันฟุตบอล จะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบต่างๆ มากมาย อาทิ นักกีฬาฟุตบอล, ผู้ฝึกสอน, กรรมการ, สนามแข่งขัน, ลูกฟุตบอล, ตาข่าย, ประตู, เสาธง, สกอร์บอร์ด, ไฟส่องสว่าง และอื่นๆ ตามที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) กำหนดมาตรฐานไว้
ในที่นี้จะขอพูดถึงเรื่องของ “ไฟส่องสว่าง” ในสนามฟุตบอล แน่นอนหากการแข่งขันฟุตบอล เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน หรือ มีแสงสว่างเพียงพอก็สามารถจัดการแข่งขันได้ แต่ในหลายๆครั้งการแข่งขันฟุตบอลจะถูกจัดขึ้นในช่วงกลางคืน เพื่อที่จะสามารถส่งสัญญาณภาพที่ได้วิสัยทัศน์ อรรถรส ที่ดีที่สุดออกสู่สายตาผู้ชมที่ไม่สามารถเข้ามาดูถึงในสนามแข่งขันได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงคนในประเทศนั้นๆ แต่รวมไปถึงสายตาคนทั่วโลกอีกด้วย
รวมถึงช่วงเวลาแข่งขันในหลายประเทศที่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความร้อนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนักกีฬาและแฟนบอล ดังนั้น ไฟส่องสว่าง จึงถือว่ามีความสำคัญและมีการกำหนดมาตรฐานไว้ในคลับ ไลเซนซิ่ง ของแต่ละรายการแข่งขัน เพื่อให้ประเทศหรือสโมสรที่จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขัน จำเป็นต้องปรับปรุงหรือใช้สนามแข่งขันที่มีเกณฑ์ขั้นต่ำด้านไฟส่องสว่างที่กำหนดไว้เท่านั้น จึงจะได้รับอนุมัติให้ทำการแข่งขันรายการนั้นๆได้
เพราะเป็นการกำหนดมาตรฐานการแข่งขัน ที่ต้องการยกระดับภาพลักษณ์ให้เท่าเทียมกันไม่ว่าจะถ่ายทอดมาจากประเทศใด เวลาใด รวมถึงประสิทธิภาพการถ่ายทอดสด ที่ผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดนำไปสร้างมูลค่าจากการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่สนใจ เพื่อให้ได้คุณภาพความคมชัดและสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่รับชมผ่านทางหน้าจอ
โดยการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญๆ ที่จัดขึ้นโดย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ได้มีการกำหนดมาตรฐานระดับค่าไฟส่องสว่างภายในสนามแข่งขัน ไว้ดังนี้
ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย : ไม่น้อยกว่า 3,500 ลักซ์
ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย : ไม่น้อยกว่า 2,400 ลักซ์
ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสอง : ไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์
ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบแรก : ไม่น้อยกว่า 1,200 ลักซ์
ฟุตบอล เอเชียน คัพ : ไม่น้อยกว่า 2,500 ลักซ์
ฟุตบอล เอเชียน คัพ รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย : ไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์
ฟุตบอล เอเชียน คัพ รอบคัดเลือก เพลย์ออฟ : ไม่น้อยกว่า 1,200 ลักซ์
ฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชีย U-23 รอบสุดท้าย : ไม่น้อยกว่า 1,800 ลักซ์
ฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชีย U-23 รอบคัดเลือก : ไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์
ฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชีย U-19/U-16 รอบสุดท้าย : ไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์
ฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชีย U-19/U-16 รอบคัดเลือก : ไม่น้อยกว่า 1,200 ลักซ์
ส่วน ฟุตบอลโตโยต้าไทยลีก คลับ ไลเซนซิ่ง กำหนดให้สนามของแต่ละสโมสร ต้องมีค่าไฟส่องสว่าง ไม่น้อยกว่า 1,200 ลักซ์ ซึ่งในฤดูกาล 2020 ค่าไฟสองสว่างของแต่ละสโมสรถือว่าผ่านมาตรฐาน ดังนี้
ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด : 2,103 ลักซ์
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด : 1,991 ลักซ์
ระยอง เอฟซี : 1,854 ลักซ์
บีจี ปทุม ยูไนเต็ด : 1,610 ลักซ์
สุพรรณบุรี เอฟซี : 1,554 ลักซ์
ชลบุรี เอฟซี : 1,488 ลักซ์
สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด : 1,481 ลักซ์
นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี : 1,348 ลักซ์
สุโขทัย เอฟซี : 1,342 ลักซ์
พีที ประจวบ เอฟซี : 1,264 ลักซ์
เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด : 1,262 ลักซ์
ราชบุรี มิตรผล เอฟซี : 1,256 ลักซ์
โปลิศ เทโร เอฟซี : 1,216 ลักซ์
การท่าเรือ เอฟซี : 1,215 ลักซ์
ตราด เอฟซี : 1,201 ลักซ์
สมุทรปราการ ซิตี้ : 1,200 ลักซ์
ขณะที่ การแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้กำหนดมาตรฐานไฟส่องสว่าง สำหรับทีมที่จะเข้าร่วม โดยสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ไว้ดังนี้
รอบเพลย์ออฟ – ไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์
รอบแบ่งกลุ่ม และ รอบน็อคเอาท์ – ไม่น้อยกว่า 1,800 ลักซ์
รอบชิงชนะเลิศ – ไม่น้อยกว่า 2,000 ลักซ์
โดย 4 สโมสรตัวแทนจากประเทศไทย ที่คว้าสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2021 รอบแบ่งกลุ่ม ประกอบไปด้วย สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด : 1,610 ลักซ์ และ การท่าเรือ เอฟซี : 1,215 ลักซ์ ซึ่งเท่ากับว่าค่าไฟส่องสว่างของสนามเหย้าของทั้งสองทีม ยังไม่ผ่านมาตรฐานที่เอเอฟซี กำหนดไว้ คือ ไม่น้อยกว่า 1,800 ลักซ์ ซึ่งทั้งสองทีมจะต้องปรับปรุงให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 1 เมษายน 2564
ส่วน อีก 2 สโมสรที่ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรอบเพลย์ออฟที่กำหนดค่าไฟส่องสว่างจะต้องไม่น้อยกว่า 1,400 ลักซ์ สนามของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด : 1,481 ลักซ์ ถือว่าผ่าน แต่ สนามของ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี : 1,256 ลักซ์ จะต้องปรับปรุงให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 1 มีนาคม 2564