แฟนเพจท่านหนึ่งได้สอบถามเรื่องราวของวงการมวยสากลในประเทศไทย และได้ถามถึง “มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ตังคะราชา” ผู้ล่วงลับ ว่า มีประวัติชีวิตความเป็นมาเกี่ยวพันกับวงการมวยบ้านเราอย่างไรบ้าง วันนี้ พอมีเวลาว่างในช่วง เวิร์ค ฟอร์ม โฮม “นายสังเวียน หมัดตรง” จึงถือโอกาส ขุดคุ้ย หาภาพและเรื่องเก่าๆ มาเล่าถึงกันฟัง
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ตังคะราชา” ในความรับรู้ของนายสังเวียน หมัดตรง ตั้งแต่ตอนยังเด็กเริ่มอ่านหนังสือหมัดมวย ได้รับฟังติดตามจากบทความ สื่ออาวุโสรุ่นเก่าผู้ล่วงลับอย่าง “อาว์สังข์ สุดเสียง” กูรูใหญ่ฐานันดรศักดิ์สูง เพราะเป็นถึง ม.ร.ว. (ม.ร.ว.นริศ กฤดากร) เวลาท่านไม่ชอบใคร ก็มักจะเขียนด่าทอสาดเสียเทเสีย เรียกว่า ในยุคสมัยก่อน การร่ายปากกาจากหยดหมึกนั้นมีอิทธิพลสูง ที่จะฆ่าคน หรือ ส่งเสริม คนๆนึงได้เลยทีเดียว (นี่เรื่องจริง)
“อาว์สังข์ สุดเสียง” สมัยเป็น บก.หนังสือมวยโลก เคยตั้งฉายา คุณเอ็ดเวิร์ด ไว้ว่า “หัวล้านแขก” และเคยเขียนสังคมทำนองว่า คอยรับแต่ส่วนแบ่งผลประโยชน์ กินเปอร์เซ็นต์จากนักมวยไทย ที่เป็นแชมป์โลก ในความรู้สึกของแฟนมวยทั่วไปชั้นหางแถว ระดับคนนอก แค่เด็กนักเรียนอ่านหนังสือมวย จึงพอรับรู้แต่เพียงเท่านั้น และถูกฝังหัวในภาพลบตลอดมา
แต่วันเวลาผันเปลี่ยน อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อตัวเองเรียนจบ ก้าวเข้ามาทำงานในวงการสื่อ และยิ่งได้มาสัมผัสกับบุคคลสำคัญต่างๆ และตัวตนจริงๆ รวมทั้งได้สัมผัสกับ คุณเอ็ดเวิร์ด ตัวจริง เสียงจริง จึงพอได้รับรู้อีกแง่มุม และขอถือโอกาสนี้ ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านให้คนไทยทั่วไปได้รับรู้ ซึ่งแฟนมวยคนรุ่นใหม่ อาจไม่รู้จัก แม้แต่ชื่อเสียงหรือตัวตนของท่าน แต่ผมก็ยังอยากถ่ายทอดและบันทึก “ในส่วนดี” ที่น่าจะเป็นประโยชน์ให้แก่คนรุ่นใหม่ได้จดจำไว้ดังนี้
“คุณสุรพจน์ พงษ์จิวาณิช” คือ “คนสนิท” ที่สุดของ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด และเป็นผู้ใกล้ชิด ได้ถ่ายทอดเรื่องราวให้เราได้รับรู้อย่างชัดเจนตามประวัติว่า
เดิมที มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ตังคะราชา “MR.Edward thangarajah” เป็นชาวศรีลังกา มีครอบครัวและลูกๆ อีก 6 คน อพยพย้ายนิวาสถานมาอยู่ในเมืองไทย ในปี ค.ศ.1972 พร้อมทำงานใน ตำแหน่งบรรณาธิการฝ่ายกีฬา หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ สื่อใหญ่ภาษาต่างประเทศในเมืองไทย
ขณะเดียวกันในวงการมวยโลก นับตั้งแต่ ไทยเรา สูญเสีย แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ (แชมป์โลกคนที่ 5) และ เนตรน้อย ส.วรสิงห์ (คนที่ 6) ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2521 เป็นต้นมา ตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกประดับบารมีคู่ฟ้าเมืองไทย เริ่มทิ้งช่วง หาผู้ส่อแววจะเป็นซุปตาร์คนใหม่ได้ยากเย็น
บุคคลในวงการมวยรุ่นใหม่ยุคนั้นคือ คุณสมภพ ศรีสมวงศ์ นายสนามมวยเวทีช่อง 7 สี หรือเจ้าของฉายา “บิ๊กอึ่ง” ในเวลาต่อมา หลังจากหมดยุค “พญาอินทรี” เทียมบุญ อินทรบุตร เสียชีวิต ท่านก็เริ่มมีแผนการอยากปลุกปั้นสร้างสรรค์ นักมวยไทย สู่ระดับโลก วันนึงจึงได้มารู้จักกับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด เข้า ทั้งสองจึงได้เปรยถึงอนาคตวงการมวยสากลอาชีพเมืองไทยในเรื่องนี้
มร.เอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นผู้สันทัดภาษาสากล จึงรับปาก และชักชวน “บิ๊กอึ่ง” เดินทางไปร่วมงานประชุมใหญ่ สภามวยโลก ที่เกาหลีเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงโซล (เซอูล) ในปี 1981 และในเช้าวันหนึ่งของงานประชุมในโรงแรมใหญ่ ระหว่าง Breakfast อาหารเช้า เอ็ดเวิร์ด ก็พา บิ๊กอึ่ง ไปนั่งทานกับ “ป๋าโฮ” มิสเตอร์โฮเซ่ สุไลมาน ประธานใหญ่สภามวยโลก WBC พร้อมแนะนำตัวให้ต่างได้รู้จักกัน
หลังพูดคุยถูกคอ และนับจากวินาทีนั้น จึงก่อเกิด ถือกำเนิดเป็น “เส้นทางสายไหม” วงการมวยระดับโลก สาย WBC ที่ทอดยาว สู่เส้นทางสร้างสรรค์นักมวยไทย ก้าวไกลสู่ระดับโลก” จนเติบโตถึงปัจจุบัน
เรื่องมันยาว คนไทยสมัยนี้ คงไม่ชอบอ่านข้อความเกิน 3-4 บรรทัด แต่หากยังพอมีท่านใดหลงเหลือสนใจ ลองติดตามตอนต่อไปได้นะครับ
สวัสดี
จากบทความของ “สร้อย มั่งมี” ผู้สื่อข่าวกีฬา หนังสือพิมพ์ข่าวสด แฟนพันธ์ุแท้แชมเปี้ยนโลกชาวไทย ปี 2002 เจ้าของนามปากกา “นายสังเวียน หมัดตรง”