ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 เดินทางมาถึงนัดชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันของ 2 ทีมที่ฟอร์มดีที่สุดของทัวร์าเมนต์ อิตาลี พบกับ อังกฤษ แข่งขันกันที่ สนาม เวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศเทศอังกฤษ
โดยเจ้าบ้าน อังกฤษ มีลุ้นคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในรอบ 55 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 ขณะที่ อิตาลี ผลงานดีไม่แพ้ติดต่อกันมายาวนานถึง 33 นัด และหวัง สร้างสถิติ แชมป์ยูโรสมัยที่ 2 หลังจากที่เคยคว้าแชมป์ได้ในปี 1968
————————
เริ่มเกมได้เพียง 2 นาที เจ้าถิ่นมาได้ประตูขึ้นนำ อย่างรวดเร็ว คีแรน ทริปเปียร์ ครอสบอลทางขวาของกรอบเขตโทษถึง ลุค ชอว์ ที่เสาไกล วอลเล่ย์ไม่ต้องจับเบียดเสาแรกเข้าประตูไป อังกฤษ นำ 1-0
จากนั้น อิตาลีเดินหน้าบุก หวังทวงประตูทตี เสมอ น.35 เฟเดริโก้ เคียซ่า เบียดเอาชนะ ดีแคน ไรซ์ ก่อนลากเข้าไปยิง แต่ทว่าบอลหลุดกรอบออกไปแบบได้ลุ้น จบครึ่งแรก อังกฤษ 1-0 อิตาลี
ครึ่งหลัง อิตาลี เดินเกมบุก น.67 ความพยายามของพวกเขาก็ประสบผล จังหวะที่ โดเมนิโก เบราร์ดี เปิดลุกเตะมุมจากฝั่งขวาเข้ากรอบเขตโทษ ไบรอัน คริสตันเต โหม่งเช็ดมาเสาสอง มาร์โก แวร์รัตติ พุ่งโหม่งเน้นๆ จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดไปชนเสาบอลมาเข้าทาง เลโอนาร์โด โบนุชชี ปรี่มาซ้ำเข้าไป อิตาลีไล่ มา 1-1
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบ 90 นาที อังกฤษ ยังเสมอ อิตาลี 1-1 ต้องมาลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และในช่วงต่อเวลาพิเศษก็ยังทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ต้องตัดสินหาแชมป์ด้วยการดวลจุดโทษ
ผลปรากฏว่า อิตาลี แม่นกว่า เอาชนะไปได้ 3-2 ผงาดแชมป์ยูโรเป้น สมัยที่ 2 ของชาติตนเอง หลังเคยได้แชมป์แรกในปี 1968
อิตาลี
โดเมนิโก้ เบราร์ดี ยิงเข้า
อันเดรีย เบลอตติ ยิงไม่เข้า
เลโอนาร์โด้ โบนุชชี ยิงเข้า
เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี ยิงเข้า
จอร์จินโญ ยิงไม่เข้า
อังกฤษ
แฮรี่ เคน ยิงเข้า
แฮรี่ แม็คไกวร์ ยิงเข้า
มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงไม่เข้า
เจดอน ซานโช ยิงไม่เข้า
บูคาโย่ ซากา ไม่เข้า