สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดประชุมหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย ทุกชุด เพื่อวางแผน และ มอบหมายนโยบาย ก่อนลงแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ในช่วงฟีฟ่า เดย์ เดือนมิถุนายน
การประชุมในครั้งนี้นำโดย พล.ต.อ. ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย วิทยา เลาหกุล อุปนายกฝ่ายพัฒนาเทคนิค, ดร.วิชิต คำนึงสุขเกษม สภากรรมการ,
ดร.จตุพร ประมลบาล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกีฬาฟุตบอลและ พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศฯ
ด้านหัวหน้าผู้ฝึกสอน ประกอบด้วย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช เนบอยซา สตาเมนโควิช ฟิตเนสเทรนเนอร์ และ ซาซ่า โทดิช โค้ชผู้รักษาประตู
นอกจากนี้ยังมี อเล็กซานเดร กาม่า หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี, อิสสระ ศรีทะโร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และ ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช จากบริษัท เอคโคโน เมธอด ซอคเกอร์ เซอร์วิส ประกอบด้วย มร. มาร์ค อลาเบรดา ปาลาซิโอส และ มร. โอริโอล อัลกาซาร์ กอนซูเอโล
หลังการประชุม พล.ต.อ. ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ กล่าวว่า “ตามนโยบายของสมาคมฯ ทุกเดือนเราจะมีการเรียกผู้ฝึกสอนทีมงานทุกชุดมาพูดคุยกัน หารือร่วมกัน
เรื่องของการทำงานของแต่ละทีมว่ามีปัญหาหรือขัดข้องอะไรบ้าง”
“ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ทุกรุ่นมีโปรแกรมการแข่งขันหลายรายการ เรื่องการเตรียมทีมถือว่ามีความสำคัญ ซึ่งเราต้องพูดคุยกันเพื่อให้มีความพร้อมมากที่สุด”
“โดยเฉพาะการเลือกตัวนักกีฬาที่ผมต้องการให้โค้ชคุยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกคนให้ความร่วมมือ เพราะผมเองก็ไม่ต้องการเข้าไปแซงแทรกการทำงานของผู้ฝึกสอน”
“นอกจากนี้มีการทบทวนแบบฝึกสอนที่สมาคมฯ ต้องการให้รูปแบบการเล่นของทีมชาติเป็นไปในทางเดียวกันนั่นคือ “ไทยแลนด์เวย์” เราให้กฎและหลักการในการซ้อมว่าทำได้ไหม โดยโค้ชแต่ละคนก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากว่านักกีฬามาอยู่แคมป์ทีมชาติเพียง 5 วัน เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากนัก หลังจากนี้ก็คงเป็นหน้าที่ของสมาคมฯ ที่จะเข้าไปคุยกับสโมสรว่ารูปแบบการฝึกซ้อมควรเป็นแบบสากล”
“เราพยายามทำรูปแบบการฝึกซ้อมแบบไทยแลนด์เวย์ ให้แพร่หลายกระจายไปในระดับรากหญ้าให้มากที่สุด ทุกวันนี้การอบรมโค้ชขั้นพื้นฐานก็เน้นไปที่การฝึกแบบไทยเเลนด์เวย์ และเชื่อว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าคนที่อบรมนำไปสอนก็จะเกิดประโยชน์ในอนาคต เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทีมชาติในอนาคต”
“สำหรับทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่มีโปรแกรมลงแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 ซึ่งทั้ง 3 ทีมที่ร่วมแข่งขัน ทั้ง เวียดนาม, กือราเซา และอินเดีย ทุกทีมล้วนมีแรงกิ้งสูงกว่าเรา ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราจะประมาทไม่ได้ ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่นักกีฬาและโค้ชจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าถ้าเราเจอทีมที่มีความแข็งแกร่งกว่ามีความพร้อมและมีความสด เราจะผ่านไปได้ไหม ซึ่งทุกคนต้องไม่ประมาทและมีความตั้งใจ รวมถึงกำลังใจจากแฟนบอลที่มีให้กับนักกีฬา เชื่อว่าทุกคนจะสร้างผลงานที่ดีได้”
การแข่งขันฟุตบอลรายการชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 จะจัดขึ้นในวันที่ 5 และ 8 มิถุนายน 2562 ณ สนามช้าง อารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์
โดยแฟนฟุตบอลไทยทุกท่านสามารถซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันได้ที่หน้าสนามแข่งขัน และช่องทางออนไลน์ที่ www.thaiticketmajor.com
ตั้งแต่ 16 พฤษภาคม ซึ่งจะมีการจัดจำหน่ายทั้งแบบรายวัน และแบบแพ็คเกจ โดยแฟนบอลที่ซื้อแบบแพ็คเกจจะได้รับส่วนลด 5%
สำหรับ โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 มีดังนี้
วันที่ 5 มิถุนายน 2562
ทีมชาติกือราเซา พบกับ ทีมชาติอินเดีย ที่สนาม ช้าง อารีนา เวลา 15.30 น.
ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเวียดนาม ที่สนาม ช้าง อารีนา เวลา 19.45 น.
วันที่ 8 มิถุนายน 2562
คู่ชิงอันดับ 3 ที่สนาม ช้าง อารีนา เวลา 15.30 น.
คู่ชิงชนะเลิศที่สนาม ช้าง อารีนา เวลา 19.45 น.