1 มิถุนายน 2019 ค่ำในคืนหนึ่งที่ทวีปยุโรป (ตรงกับเช้าวันที่ 2 มิ.ย.) ศึกสุดท้ายแห่งฤดูกาล “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018-2019” จะถูกชี้ขาดโดยมีสนามของสโมสร แอตเลติโก มาดริด ถูกลิขิตให้เป็นสังเวียนพิพากษาชะตากรรมระหว่าง “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สองสัตว์ปีกสายพันธุ์บุกแห่ง พรีเมียร์ลีก
เหนืออื่นใด ในรอบกว่า 10 ปีนี่คือ “ออล อิงแลนด์ ไฟนัล” ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นับจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด-เชลซี ร่วมก่อวีรกรรมกันไว้ในฤดูกาล 2007-2008
ลิเวอร์พูล รองแชมป์ฤดูกาลที่แล้วและแชมป์ 5 สมัย พิสูจน์คุณภาพของพวกเขาแล้วว่า “ของจริง” เมื่อทะลุชิงชนะเลิศ 2 ปีต่อเนื่อง หากครั้งนี้ลงเอยด้วยรอยยิ้ม พวกเขาจะสยายปีกครองทวีปเป็นสมัยที่ 6 จากการลุ้นชิงดำ 9 ครั้ง สำหรับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ นี่คือสัมผัสแรกใน “ยูซีแอล ไฟนัล” ขณะเดียวกันพวกเขาคือสโมสรอังกฤษรายที่ 8 ที่เดนตายจนถึงสมรภูมิสุดท้ายของสงคราม มากกว่าทุกประเทศสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และบุรุษเหล่านี้ของทั้ง 2 ฝ่าย ถูกเชื่อว่าคือกลุ่มผู้กุมกุญแจที่จะไขสู่ชัยชนะของต้นสังกัดเอาไว้ ดังนั้น “ไฟนัล ไฟท์” ที่นครมาดริด พวกเขาจะได้จับคู่ “แบทเทิล” กันแน่นอน
แยน แฟร์ต็องเกน (สเปอร์ส) VS โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)
แยน แฟร์ต็องเกน แนวรับสำคัญของทีมชาติเบลเยียม ชุดเข้า 4 ทีม “เวิลด์ คัพ 2018” ถูกคาดว่าจะเป็นคนได้รับมอบหมายจาก เมาริซิโอ โปเช็ตติโน กุนซืออาร์เจนไตน์ ให้ดับหรือ “จับตาย” โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เนื่องจากถนัดยืนเซนเตอร์แบ็กด้านซ้าย อีกทั้งสามารถถ่างไปประจำการฟูลแบ็กฝั่งซ้าย ซึ่งนั่นคือพื้นที่ฝั่งเดียวกับที่ ซาลาห์ เชี่ยวชาญนัก จึงค่อนข้างแน่นอนว่าคู่นี้ไม่แคล้วคงได้ “วัดกัน”
เดอะ พรินซ์ ออฟ อียิปต์” โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เริ่มต้นฤดูกาลอย่างขลุกขลัก โทษฐานที่ฤดูกาลแรกกับ ลิเวอร์พูล ระเบิดตาข่ายอย่างบ้าคลั่ง 36 ประตู (นับเฉพาะ พรีเมียร์ลีก) เมื่อฤดูกาลต่อมาฝืดบ้าง บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า “หมดแล้ว” เป็นแค่พลุที่สว่างไสวไม่นานก็ลาลับ อย่างไรก็ตาม พอตั้งหลักได้เขาก็เร่งเครื่องจนจบ “พรีเมียร์ลีก 2018-2019” ด้วยการตะบัน 22 ประตู ครองดาวยิงสูงสุดร่วมกับ ซาดิโอ มาเน, ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยัง ส่วนในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องยอมรับว่า การอยู่ในสนามได้เพียง 30 นาที (โดยการสงเคราะห์ให้ของ เซร์คิโอ รามอส) ในนัดชิงฤดูกาลที่แล้ว คือเรื่องราว “คาใจ” ที่ผลักดันเขาให้มุ่งมั่นแรงกล้าที่จะสะสางปมที่ค้างคา และถึงจะยิงประตูได้น้อยลง แต่คุณภาพอาจสำคัญกว่าปริมาณ ในเมื่อหลายประตูในจำนวนน้อยนั้น บ้างก็สามารถชี้ขาดเป็น-ตาย หรือไม่ก็เป็นประตูนำ ช่วยคลายความกดดัน
คริสเตียน เอริคเซน (สเปอร์ส) VS ฟาบินโญ (ลิเวอร์พูล)
ฤดูกาลนี้แนวรุกของ สเปอร์ส ดูมีมิติมากขึ้นจากการได้ ลูคัส มูรา เข้ามาเพิ่มเติมความหลากหลาย ซอน เฮือง มิน นับวันยิ่งปราดเปรียวดุดัน ขณะที่ เอริค ลาเมลา ก็หวือหวาตามประสา นั่นคือไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ถ้าถามหาหัวใจในแดนกลาง คริสเตียน เอริคเซน ดาวเด่นทีมชาติเดนมาร์ก คือคนนั้นแน่นอน ตามบทบาทกองกลางเชิงรุกที่มีคุณสมบัติเด่นตรงการจ่ายบอลระดับมันสมองบวกกับการส่องไกลแบบหวังผลได้ตลอด โดยมีประกาศนียบัตรผลงานคือยิงเอง 10 ประตู ผ่านบอลให้เพื่อนซัดอีก 17 ประตู เป็นใบรับรองคุณภาพ
ฟาบิโอ เฮนริเก ทาวาเรซ หรือที่เรียกกันว่า “ฟาบินโญ” ย้ายจากสโมสร โมนาโก มาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ในปี 2018 แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะได้ลงสนาม หลายคนหวั่นว่านี่จะกลายเป็นการผิดพลาดราคาแพงอีกครั้งของ “หงส์แดง” ทว่าความจริงคือ เยอร์เกน คล็อปป์ เทรนเนอร์เยอรมัน มั่นใจในการเลือกซื้อนักเตะ โดยเขาทำงานใกล้ชิดกับ เอียน เกรแฮม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ และใช้เวลาอย่างใจเย็น ปลูกฝัง หล่อหลอม ฟาบินโญ จนเข้าใจและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับปรัชญาฟุตบอลแบบ “เฮฟวี เมทัล” ซึ่งตำแหน่งการยืนที่ปักหลักเหนือแผงหลัง จึงทำให้ต้องท้าชนโดยตรงกับบรรดาเพลย์เมคเกอร์ฝ่ายตรงข้าม และผลงานระดับโลกของเขาในรายการนี้ก็คือ การใช้ความหนักหน่วง “เก็บเรียบ” บรรดาอหังการของ บาร์เซโลนา ไม่ว่าจะ ลิโอเนล เมสซี หรือ หลุยซ์ ซัวเรซ ในรอบรองชนะเลิศ นัด 2
แฮร์รี เคน (สเปอร์ส) VS เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (ลิเวอร์พูล)
แฮร์รี เคน รับใช้สโมสรในรายการนี้ไปแล้วรวม 18 นัด ซัด 14 ประตู ค่าเฉลี่ย 0.78 ประตู/นัด ถือเป็นประสิทธิภาพน่าทึ่งมาก จึงไม่แปลกที่มีแหล่งข่าวระบุว่า ในกรณีที่ผู้เล่นหลักทุกคนร่างกายแข็งแรง “แฮร์รี เคน” คือชื่อที่แรกที่จะถูกเลือกเป็นตัวจริง เป็นชื่อที่ต้องถูกนึกถึงก่อน คริสเตียน เอริคเซน, ซอน เฮือง มิน, เดเล อัลลี หรือกระทั่ง ฮูโก โยริส ซึ่งนอกจากมีความกระหายฉีกตาข่ายอย่างรุนแรงแล้ว กองหน้ารายนี้ยังใจสู้และทรหดในแบบฉบับคนอังกฤษ ขนาดเอ็นข้อเท้าชำรุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ยังฮึดกลับมาทันเวลาปะทะแตกหักกับ ลิเวอร์พูล และต่อให้ต้องเริ่มต้นบนม้านั่งสำรอง แต่เมื่อได้ลงสนาม เขาก็พร้อมเผชิญคู่ต่อสู้ทุกคนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ คือกองหลังที่สมบูรณ์แบบสุดใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา สมบูรณ์ทั้งรูปร่าง พละกำลัง ทักษะ และไหวพริบ จนสามารถช่วยต้นสังกัดไม่เสียประตูมากถึง 21 นัด ทำให้ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ “Players’ Player of the Year” ถูกยกย่องให้ติดหนึ่งกลุ่มกองหลังระดับโลก สำหรับการดวลกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ หรือ แฮร์รี เคน ก็อาจไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนวาดภาพไว้ ในเมื่อเจอกัน 2 นัด พรีเมียร์ลีก หงส์กำชัยทั้ง 2 นัดด้วยผล 2-1
เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง “ศึกสุดท้าย” จะเริ่มต้นสู่บทสรุป ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ไม่ว่ารอยยิ้มหรือน้ำตา เมื่อเข้ามาแล้วก็จากไปเพื่อให้สงครามครั้งใหม่เปิดฉากในฤดูกาลต่อไป
ฟีนิกซ์ วิหคเพลิง
หมายเหตุ : บทความนี้อ้างอิงจาก Tottenham v Liverpool: Three key battles in the Champions League final เผยแพร่ในเว็บไซต์ทางการของสโมสร ลิเวอร์พูล