ปิยะ สว่างอรุณพร แชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ 3 รายการคืนฟอร์มหวด 6 อันเดอร์พาร์ 66 รวมสองวัน 9 อันเดอร์พาร์ 135 นำร่วมกับ ประหยัด มากแสง ที่เก็บเพิ่มอีก 2 อันเดอร์พาร์ 70 โดยมี ธัญพิสิษฐ์ ออมสิน และ รฐนน วรรณศรีจันทร์ ตามหลังเพียงสโตรกเดียว ในการแข่งขันกอล์ฟอาชีพรายการสิงห์-เอสเอที ขอนแก่น แชมเปียนชิพ ชิงเงินรางวัลรวม 3 ล้านบาท ณ สนามสิงห์ปาร์ค ขอนแก่น กอล์ฟคลับ ระยะ 7,557 หลา พาร์ 72 จ.ขอนแก่น
สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย จัดการแข่งขัน “สิงห์-เอสเอที ขอนแก่น แชมเปียนชิพ 2020” ชิงเงินรางวัลรวม 3 ล้านบาท โดยจัดภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 จากทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ จากการสนับสนุนร่วมกันของ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และ การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาตื โดยรายการนี้เป็นการสะสมเงินรางวัลออเดอร์ ออฟ เมอริท รายการที่ 8 ซึ่งเป็นรายการสุดท้ายของไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ฤดูกาลนี้ แข่งขันแบบสโตรกเพลย์ 54 หลุม ระหว่างวันที่ 17-19 ธ.ค. 2563 ณ สนามสิงห์ปาร์ค ขอนแก่น กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,557 หลา พาร์ 72 จ.ขอนแก่น
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นรอบสองของการแข่งขันซึ่ง ปิยะ สว่างอรุณพร อดีตแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ 3 รายการวัย 37 ปีจากอุบลราชธานีที่คืนฟอร์มเก่งเก็บเข้ามา 8 เบอร์ดี้ ก่อนจบรอบสองเข้ามา 6 อันเดอร์พาร์ 66 รวมสองวัน 9 อันเดอร์พาร์ 135 ขยับขึ้นมานำร่วมกับ ประหยัด มากแสง ที่ในรอบสองทำเข้ามาอีก 2 อันเดอร์พาร์ 70
ปิยะ สว่างอรุณพร ซึ่งกำลังลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์อีกครั้งหลังชนะครั้งหลังสุดที่ กบินทร์บุรี สปอร์ตคลับ หรือ เคบีเอสซี เมื่อปี 2013 เปิดเผยว่า “สองวันที่ผ่านมาค่อนข้างพอใจกับรูปเกม อาจจะมีตัดสินใจพลาดบ้าง แต่มันเป็นการผิดจากการตัดสินใจมากกว่า ไม่ใช่ความผิดพลาดจากช็อต ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นและเริ่มหาตัวเองเจอ กลับมาสู่เส้นทางที่ขึ้นมาสู่ระดับท็อปอีกครั้ง”
นักกอล์ฟวัย 37 ปีจากอุบลราชธานี ยังได้กล่าวถึงความหวังในการคว้าแชมป์ที่สี่ในอาชีพว่า “ผมมั่นใจนะ ค่อนข้างมั่นใจ แต่ปัจจัยสำคัญผมคิดว่าอยู่ที่ลูกเสิร์ฟ ลูกเปิดเกมที่วันนี้ทำได้ดีมาก อุปสรรคอยู่ที่ลมและกรีนที่ยาก ถ้าเสิร์ฟลูกอยู่ในแฟร์เวย์ได้ก็มีโอกาสสูง เพราะมันได้เล่นจากแฟร์เวย์ซึ่งสามารถทำสปินได้ แต่ถ้าอยู่ในรัฟจะยากมาก”
ทางด้าน ประหยัด มากแสง นักกอล์ฟวัย 54 ปีจากหัวหิน ที่เข้ารอบสองเก็บเข้า 2 อันเดอร์พาร์ 70 จากสี่เบอร์ดี้ 2 โบกี้ เผยว่า “รอบนี้เจาะธงค่อนข้างยาก ตีสองอันเดอร์เข้ามาถือว่าโอเคเพราะต้องพัตต์ยาวๆหลายหลุม แต่ยังดีที่พัตต์ดี สำหรับรอบสุดท้ายมันต้องดูตำแหน่งธงว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าสู้กันบนกรีนอย่างเดียว ต้องเล่นแบบได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา เก็บไปเรื่อยๆ คือตีออนไว้ก่อนแล้วไปลุ้นพัตต์ ใครพัตต์มาก็ได้ไป”
ตามหลังผู้นำสโตรกเดียวที่สกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 136 ตามเข้ามา 2 คน คือ ธัญพิสิษฐ์ ออมสิน แชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ 2 รายการจากอยุธยาที่เร่งเครื่องในรอบสองด้วยการเก็บ 7 เบอร์ดี้แบบไม่เสียโบกี้ก่อนจบรอบสอง 7 อันเดอร์พาร์ 65 รวมสองวันอยู่อันดับสามร่วมกับ รฐนน วรรณศรีจันทร์ หนุ่มจากจันทบุรี ที่เก็บเข้ามาอีก 3 อันเดอร์พาร์ 69
ธัญพิสิษฐ์ ออมสิน นักกอล์ฟวัย 24 ปีที่เคยชนะไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ ที่สนามสิงห์ปาร์ค ขอนแก่น แห่งเดียวกันนี้เมื่อปี 2017 เปิดเผยว่า “ช่วงนี้กลับมาเล่นได้ค่อนข้างดีแล้วก็มั่นใจด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนมันไม่มั่นใจแล้วไม่กล้าตี สำหรับรอบสุดท้ายก็พยายามสร้างโอกาสให้ตัวเองเรื่อยๆ คิดว่าใครพัตต์ดีก็น่าจะได้ ถามว่ามั่นใจไหมก็มั่นใจเหมือนกัน เพราะช่วงหลังออกรอบที่นี่ค่อนข้างบ่อย”
ส่วน รฐนน วรรณศรีจันทร์ นักกอล์ฟวัย 25 ปีจากจันทบุรี เจ้าของแชมป์ไทยแลนด์ โอเพ่น เมื่อปี 2017 ที่กำลังลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกในอาชีพกล่าวว่า “สองวันนี้พอใจมากครับ เพราะว่าไม่ได้ขึ้นมาอยู่บนลีดเดอร์บอร์ดนานมาก รอบสุดท้ายคงพยายามเล่นให้สนุก ถ้าพัตต์ได้ก็เป็นของเรา แต่พยายามจะไม่กดดันตัวเอง”
สำหรับ โคสุเก ฮามาโมโต้ นักกอล์ฟจากเชียงใหม่หวดเข้ามาอีก 4 อันเดอร์พาร์ 68 รวมสองวันตามหลังผู้นำ 2 สโตรกที่สกอร์ 7 อันเดอร์พาร์ 137 ขณะที่ นิวพอร์ต ลาภาโรจน์กิจ นักกอล์ฟสมัครเล่นวัย 23 ปีที่นำการแข่งขันหลังจบรอบแรก เข้ารอบสองตีเกินไป 1 โอเวอร์พาร์ 73 รวมสองวันอยู่อันดีบหกร่วมกับ เนติพงศ์ ศรีทอง (68) และ พชร คงวัดใหม่ (69) ที่สกอร์รวม 6 อันเดอร์พาร์ 138