“ฮวน ฟอนตาเนียล” ยอดโค้ชคิวบา แฉปลดเปลือกเหตุลาออกทีมกำปั้นไทย เพราะตัว นายกสมาคมฯ และ พ่อบ้าน เข้ามาแทรกแซงการทำงานจนไม่มีความสุข ทั้งที่เคยคุยปัญหาให้รับรู้แล้ว แต่ไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น จึงทางใครทางมัน ระบุคนรู้เรื่องมวยดีสุดคือ “บิ๊กชาย” สมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค ที่คอยปิดทองหลังพระมาตลอด ฟันธงมวยหญิงน่าจะมีลุ้นเหรียญในอลป. ส่วนทีมมวยชายต้องพัฒนาอีกเยอะเอาแค่โควต้าลุ้นตั๋วไป “โตเกียวเกมส์” ตามเป้าก็ยังลำบากเลย อนาคตคงไม่กลับมาทำงานให้อีก
ความคืบหน้ากรณี “โค้ชเทวดา” ฮวน ฟอนตาเนียล อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ที่เคยสร้างผลงานพานักชกไทยประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ด้วยคว้าเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเกมส์มาแล้ว 4 สมัย จาก “โม้อมตะ” สมรักษ์ คำสิงห์ ปี 1996, “อิกคิวซัง” วิจารณ์ พลฤทธิ์ ปี 2000, “เจ้าเติ้ล” มนัส บุญจำนงค์ ปี 2004 และ “เจ้าน้อย” สมจิตร จงจอหอ ปี 2008 ก่อนที่เจ้าตัวจะลาออกกลางคันไปอย่างน่าสงสัยในช่วงโควิด-19 ทั้งที่มีภาระกิจและสัญญาอยู่กับสมาคมฯให้ครบจนจบ “โตเกียวเกมส์” ปี 2021 ขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้บริหารสมาคมฯท่านใดออกมาพูดถึงเรื่องการลาออกของ ฮวน ในครั้งนี้แต่อย่างใด จนสื่อมวลชนสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับยอดโค้ชชาวคิวบารายนี้
ล่าสุด ฮวน ฟอนตาเนียล ที่เวลานี้เดินทางไปสอนมวยอยู่ประเทศเม็กซิโกได้ให้สัมภาษณ์ทางไกลถึงสาเหตุการลาออกว่า ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2560 ตัวเองได้รับการทาบทามจากผู้ใหญ่สมาคมฯให้กลับมาคุมทีมนักชกไทยอีกครั้ง ซึ่งในห่วงเวลานั้นหมดสัญญากับสมาคมมวยสากลเม็กซิโกพอดีจึงตัดสินใจเดินทางมา เพราะตัวเองมีความผูกพันธ์กับนักชกไทยและคนไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกว่า 10 ปีตั้งแต่ปี 2536
งานหลักสำคัญที่จะต้องทำในช่วงแรก คือ การพัฒนาทีมกำปั้นหญิงและดูแลชุดเยาวชนทั้งหมด เพื่อต้องการสร้างนักชกสายเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ในอนาคต แน่นอนว่า การทำงานทุกอย่างจะต้องมีปัญหาอุปสรรคต่างๆเข้ามามากมาย เนื่องจากทีมมวยสากลของไทยยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ไม่มีนักชกฝีมือดีและชั้นเชิงมวยอัจฉริยะเหมือนกับสมัยของ สมรักษ์ คำสิงห์, มนัส บุญจำนงค์ และ สมจิตร จงจอหอ ทุกอย่างจึงต้องวางระบบแบบแผนการฝึกซ้อมกันใหม่ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ พละกำลัง, เทคนิค, จิตวิทยา, โภชนาการ, การเดินทางไปแข่งขัน ฯลฯ เพราะทุกอย่างมันคือ องค์ประกอบที่สำคัญไปสู่ความสำเร็จ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
ที่ผ่านมาตัวเองทุ่มเทและตั้งใจทำงานมาตลอด ไม่ได้ดูแลแค่เฉพาะทีมมวยหญิงกับชุดเยาวชนเท่านั้น แต่ทีมกำปั้นชายที่จะไปล่าตั๋วโตเกียวเกมส์ก็ดูแลด้วย เพราะเวลานี้เรายังตามหลังชาติมหาอำนาจต่างๆอยู่มาก ดังนั้นเมื่อผู้บริหารสมาคมฯให้ตัวเองดูแลรับผิดชอบแล้ว จึงต้องให้ความไว้วางใจ
อย่าพยายามเข้ามาแทรกแซง หรือ ก้าวก่ายในส่วนการทำงานของตัวเอง เนื่องจากประสบการณ์และการเห็นนักมวยทั่วโลกตัวเองรู้ดีกว่าใคร สมควรต้องให้สิทธิ์หน้าที่และอำนาจการตัดสินใจเต็มที่ เพื่อสรรหานักชกที่พร้อมและดีที่สุดไปทำหน้าที่ให้กับประเทศชาติ
เพราะตัวเองอยู่หน้างานจะรู้ดีว่า นักชกแต่ละคนเป็นอย่างไร คนไหนมีความเก่งกาจและข้อบกพร่องตรงจุดไหนบ้าง รวมไปถึงเรื่องระเบียบวินัยและความรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกอย่างมันน่าจะดูดี หากทำได้ตามข้อตกลงกันไว้ แต่มันกลับตรงกันข้ามเนื่องจากมีผู้บริหารสมาคมฯ (บางคน) เข้ามาวุ่นวายจนตัวเองทำงานไม่มีความสุข จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจเดินทางกลับเม็กซิโกทันที
ทั้งที่จริงส่วนตัวทำงานร่วมกับ “บิ๊กชาย” นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคสมาคมฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะท่านมีความรู้และความเข้าใจกีฬาชนิดนี้อย่างถ่องแท้ แถมยังเคยเป็นอดีตนักมวยมาก่อน จึงเข้าใจถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของนักกีฬาว่า ต้องการอะไรบ้าง อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ ที่จะทำให้นักกีฬาไปสู่ความสำเร็จเป้าหมาย
นายสมชาย ดูแลทำให้หมด แต่ผู้บริหารสมาคมฯอีกส่วนไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่เข้าใจกีฬามวยสากลที่มันลึกซิ้ง แต่พยายามทำให้ตัวเองมีอำนาจในการตัดสินใจ ผลสุดท้ายความล้มเหลวก็จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม ซึ่งตัวเองไม่สามารถยอมรับได้ อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะถึงจุดแตกหักตรงนี้นั้น ก็เคยมีการพูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆกันมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้รับการแก้ไขไปในทิศทางที่ดี ทางสุดท้าย คือ การปลีกตัวออกมาจากตรงจุดนั้น แล้วปล่อยให้คนที่พร้อม หรือ เหมาะสมกว่าเข้ามาทำหน้าที่แทน แม้ว่า ภายใต้จิตใจลึกๆของตัวเองนั้นมันจะรู้สึกเจ็บปวดและสงสารนักกีฬาก็ตามที แต่เมื่อเราตัดสินใจออกมาแล้วหวังว่า ทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้น
“ผมทำงานด้วยความทุ่มเทตั้งใจ เห็นได้จากผลงานความสำเร็จที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกอย่างมันคุ้มกับค่าเหนื่อยที่ได้รับเดือนละ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 210,000 บาท
โดยเฉพาะการพาทีมกำปั้นไทยไปสู่ความสำเร็จในเวทีโลกทั้ง โอลิมปิกเกมส์, ชิงแชมป์โลก และ เอเชี่ยนเกมส์ เพราะที่นี่มันคือ บ้านหลังที่สองของผม จึงมีความรักและผูกพันธ์เหมือนพ่อดูแลลูกๆ แต่เมื่อทางตัวนายกสมาคมฯ กับ เลขาธิการสมาคมฯ ไม่ให้ความไว้วางใจเข้ามาแทรกแซงการทำงานตลอด ทั้ง โปรแกรมการฝึกซ้อม, การคัดเลือกนักกีฬา และ การบริหารต่างๆที่สมควรจะเป็น มันจึงทำให้อยู่แล้วไม่มีความสุข
ในมุมกลับกันถ้าให้ผมทำงานเต็มที่แล้วผลงานออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะตำหนิหรือไม่ทำตามก็มาว่ากันไป แต่นี่ทั้งสองคนเขาไม่รับฟังผมเลย แม้ว่า จะพยายามอธิบายถึงเหตุผลไปแล้ว จึงตัดสินใจลาออกมาดีกว่า เพราะหากฝืนอยู่ต่อไปทุกอย่างมันยิ่งจะเลวร้ายลงกว่าเดิม ส่วนตัวมองว่า นักมวยหญิงไทยมีโอกาสหยิบเหรียญในอลป.ได้ แต่จะเป็นสีอะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ ขณะที่ทีมมวยชายนั้่นคงเป็นไปยาก เอาแค่การคว้าโควต้าโตเกียวเกมส์ให้ได้ตามเป้าหมายยังลำบากเลย เพราะทุกอย่างมันดูตกต่ำและขาดการพัฒนาที่ดีอย่างเป็นระบบมาช้านานแล้ว อีกทั้งตัวเองคงจะไม่กลับไปทำงานให้อีกต่อไปแล้ว” โค้ชฮวน กล่าวทิ้งท้าย